ราคายางรถบรรทุก เปรียบเทียบชนิด ขนาด ดอกยาง และ TCO ให้คุ้มที่สุด
- Marketer Whalevox
- 5 ต.ค.
- ยาว 1 นาที
ยางรถบรรทุก: ปัจจัยกำหนดราคาที่ลึกกว่าที่คิด
การเลือกซื้อยางสำหรับฟลีทรถบรรทุกเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่สำคัญและส่งผลกระทบโดยตรงต่อต้นทุนการดำเนินงานและความปลอดภัย การมองที่ราคาป้ายเพียงอย่างเดียวอาจทำให้หลงทางได้ เพราะราคายางไม่ได้สะท้อนแค่คุณภาพ แต่ยังสัมพันธ์กับปัจจัยหลายด้านที่ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่างกัน การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้เจ้าของกิจการสามารถเลือกยางที่เหมาะสมที่สุดสำหรับรถแต่ละคันและงานแต่ละประเภท
ปัจจัยที่ส่งผลต่อราคายาง
ชนิดโครงสร้าง: โครงสร้างยางหลักๆ มีสองประเภทคือ เรเดียล (Radial) และ ไบแอส (Bias) ยางเรเดียลมีโครงสร้างใยเหล็กจัดเรียงในแนวรัศมี ทำให้แก้มยางมีความยืดหยุ่นสูง ลดการสะสมความร้อน และมีพื้นที่หน้าสัมผัสกับพื้นถนนกว้างกว่า ส่งผลให้ประหยัดน้ำมันและมีอายุการใช้งานยาวนานกว่า จึงมักมีราคาสูงกว่า แต่ยางไบแอสที่มีโครงสร้างใยผ้าจัดเรียงแบบไขว้กัน มีความแข็งแรงทนทานต่อการบาดและเจาะได้ดีกว่า ทำให้เหมาะกับงานหนักหรืองานในสภาพถนนที่ขรุขระ เช่น งานเหมืองหรืองานก่อสร้าง
ขนาดและดัชนี: ยางแต่ละเส้นจะมีขนาดและดัชนีที่ระบุความสามารถในการรับน้ำหนักและความเร็วสูงสุดที่เหมาะสม การเลือกยางที่มีขนาดและดัชนีที่สูงขึ้นเพื่อรองรับน้ำหนักบรรทุกที่มากขึ้นย่อมส่งผลให้ราคาสูงขึ้นตามไปด้วย การเลือกขนาดที่เหมาะสมกับภาระงานจริงจะช่วยยืดอายุการใช้งานและลดความเสี่ยงที่ยางจะเสียหายจากความร้อนสะสมที่มากเกินไป
ลายดอกยาง: ลายดอกยางถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานในตำแหน่งที่แตกต่างกัน เช่น ยางสำหรับตำแหน่งล้อขับ (Drive Tire) จะมีดอกยางขนาดใหญ่และลึกเพื่อเพิ่มแรงฉุดลาก ยางสำหรับตำแหน่งล้ออิสระ (Free Rolling Tire) เช่น ล้อพ่วง มักมีลายดอกแบบร่องตรงเพื่อลดการสึกหรอที่ไม่สม่ำเสมอ และ ยางสำหรับตำแหน่งล้อหน้า (Steer Tire) จะมีลายดอกแบบร่องยาวเพื่อการบังคับเลี้ยวที่แม่นยำ ลายดอกยางที่ซับซ้อนและออกแบบมาเฉพาะงานย่อมมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า

เลือกยางจากงานจริง: ไม่ใช่แค่ป้ายราคา
การตัดสินใจซื้อยางควรเริ่มต้นจากการวิเคราะห์ลักษณะการใช้งานของรถแต่ละคันอย่างละเอียด ไม่ใช่แค่การเปรียบเทียบตัวเลขราคาที่ปรากฏบนป้าย การเลือกยางที่เหมาะสมกับงานจริงจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในระยะยาวได้
งานทางไกล/ทางเรียบ: หากฟลีทของคุณส่วนใหญ่ใช้งานบนถนนที่ลาดยางอย่างต่อเนื่อง การเลือกใช้ยางเรเดียลที่มีดอกยางแบบ Rib (ลายร่องตรง) จะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุด เพราะช่วยลดแรงเสียดทาน ทำให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากขึ้นและมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
งานหนัก/งานเหมือง/ก่อสร้าง: สำหรับงานที่ต้องเผชิญกับสภาพถนนที่เต็มไปด้วยเศษหิน เศษเหล็ก หรือสภาพพื้นผิวที่ขรุขระ การใช้ยางไบแอสที่มีโครงสร้างแข็งแรงทนทานต่อการเจาะทะลุจะตอบโจทย์ได้ดีกว่า แม้ว่าจะสิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่าก็ตาม
การเลือกขนาดและดัชนีที่ถูกต้อง: การเลือกยางที่มีดัชนีรับน้ำหนักเหมาะสมกับน้ำหนักบรรทุกสูงสุดที่ใช้งานจริง จะช่วยให้มั่นใจได้ว่ายางจะสามารถรองรับน้ำหนักได้อย่างปลอดภัย ลดความเสี่ยงที่ยางจะฉีกขาดหรือระเบิดจากความร้อนสะสม และยังช่วยลดการสึกหรอที่ไม่สม่ำเสมออีกด้วย
การพิจารณาเบื้องต้นก่อนตัดสินใจซื้อ
การเลือกยางไม่ใช่แค่การเปรียบเทียบราคาสองสามรุ่น แต่ควรมีกระบวนการพิจารณาที่เป็นระบบเพื่อหาทางเลือกที่คุ้มค่าที่สุดในระยะยาว โดยมีเกณฑ์พิจารณาสำคัญดังนี้:
โครงสร้างยาง (เรเดียล vs ไบแอส): พิจารณาจากลักษณะงานหลักของฟลีท เช่น งานทางไกลเลือกเรเดียล งานเหมืองเลือกไบแอส
ขนาดและดัชนี: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าขนาดและดัชนีรับน้ำหนักและความเร็วของยางตรงหรือสูงกว่าความต้องการของรถและน้ำหนักบรรทุก
ลายดอกยางและตำแหน่ง: เลือกใช้ลายดอกยางให้ตรงกับตำแหน่งที่ติดตั้ง (ล้อขับ ล้ออิสระ หรือล้อหน้า) และสภาพถนนที่ใช้งานจริง
โอกาสในการหล่อดอก: สอบถามผู้จำหน่ายว่ายางรุ่นดังกล่าวสามารถนำไปหล่อดอกได้หรือไม่ และมีบริการหลังการขายหรือการรับประกันที่ครอบคลุมอย่างไรบ้าง
บริการหลังการขาย: การพิจารณาบริการหลังการขาย เช่น การให้คำแนะนำเรื่องการดูแลรักษา การสลับยาง หรือการซ่อมแซมเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานของยางได้
มอง “ราคายาง” ผ่าน Total Cost of Ownership (TCO)
ต้นทุนที่แท้จริงของยางไม่ได้จำกัดอยู่แค่ราคาซื้อ แต่เป็น TCO (Total Cost of Ownership) ซึ่งรวมทุกค่าใช้จ่ายตลอดอายุการใช้งานของยาง การคำนวณ TCO ช่วยให้สามารถเปรียบเทียบยางแต่ละยี่ห้อและแต่ละรุ่นได้อย่างยุติธรรมและแม่นยำ
TCO สามารถคำนวณได้จากสูตรอย่างง่าย: TCO = ราคาซื้อยาง + ต้นทุนค่าน้ำมันที่เพิ่มขึ้น/ลดลง + ต้นทุนการซ่อมบำรุง + ต้นทุนการหล่อดอก
การคำนวณ TCO ที่แม่นยำต้องอาศัยข้อมูลจริงจากการใช้งานฟลีท ซึ่งรวมถึง:
ระยะทางที่วิ่งได้ต่อคู่/ต่อเพลา: การเก็บข้อมูลระยะทางของยางแต่ละเส้นจะช่วยให้ทราบอายุการใช้งานที่แท้จริง
แรงดันลมที่ใช้งานจริง: แรงดันลมที่เหมาะสมช่วยยืดอายุการใช้งานของยางและประหยัดน้ำมันได้
สถิติการสลับยาง: การสลับยางตามระยะเวลาที่เหมาะสมช่วยให้ยางสึกหรอสม่ำเสมอและใช้งานได้นานขึ้น
การเก็บข้อมูลเหล่านี้อย่างเป็นระบบจะช่วยให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนและสามารถตัดสินใจเลือกยางที่ให้ความคุ้มค่าสูงสุดต่อระยะทางวิ่งหนึ่งกิโลเมตร ไม่ใช่แค่ยางที่ราคาถูกที่สุดแต่มีอายุการใช้งานสั้นหรือทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้นในระยะยาว
สามารถ ดูรถบรรทุกมือสองรุ่นต่างๆ ได้ที่ https://www.askkairod.com/truck














ความคิดเห็น